คืออะไร อาการวิตกกังวลว่าตัวเองจะเผลอทำอะไรเปิ่น ๆ เชย ๆ หรือทำพลาดให้ต้องอับอาย กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์จากคนรอบข้าง เหมือนอาการของคนตื่นเต้นแบบปกติทั่วไป แต่สำหรับผู้ป่วยโรคกลัวการเข้าสังคม (Social Phobia) จะประหม่ามาก และไม่สามารถบังคับตัวเองให้ไม่ขลาดกลัวการเข้าสังคมได้เลย มักแอบแฝงอยู่ในตัวบุคคลที่ดูเป็นปกติสุขดี ร่างกายแข็งแรง และไม่มีทีท่าว่าป่วย เพราะอาการของโรคจะก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความขี้อาย ประหม่า กลัวขายหน้า ตามสถานการณ์ตื่นเต้นทั่วไปใครๆก็เป็น เลยทำให้ผู้ป่วยหลายคนที่ป่วยเป็นโรคกลัวสังคมไม่รู้ตัว
เกิดขึ้นกับทุกช่วงอายุ ทั้งเพศชายหญิง มีโอกาสเป็นโรคนี้เท่า ๆ กัน มักเด่นชัดในช่วงวัยเด็กจนถึงช่วงวัยรุ่น เป็นเพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่เริ่มต้องเข้าสังคมมากขึ้น ส่วนมากจะขาดความมั่นใจในตัวเอง และคิดว่าตัวเองมีปมด้อยที่น่าอับอาย ซึ่งเป็นความคิดที่ลดคุณค่าของตัวเองลงโดยไม่รู้ตัว จนเกิดความขลาดกลัวการเข้าสังคมในที่สุด ในวัยเด็ก เด็กขี้อายเป็นเรื่องปกติของช่วงวัยเด็ก แต่สำหรับที่เข้าข่ายเป็นโรคนี้จะแตกต่างออกไป เด็กเหล่านี้ไม่กล้าแม้แต่เล่นกับเด็กคนอื่น อายถึงขั้นหวาดกลัวการพูดกับผู้ใหญ่ ไม่สบตาใครขณะพูดและมักจะไม่ยอมไปโรงเรียน ในวัยผู้ใหญ่ มักจะมีอาการสืบเนื่องมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หรือเป็นวัยรุ่น โดยที่ไม่ได้รับการรักษาเยียวยาให้หายหวาดกลัวการเข้าสังคม
อาการโรคแบ่งออก 3 ประเภท อาการแสดงทางอารมณ์และความคิด 1. รู้สึกประหม่าทุกครั้งที่ต้องพูดกับบุคคลอื่นหรืออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็พูดไม่ออก 2. วิตกกังวลอย่างมาก ว่าคนอื่นจะวิพากษ์วิจารณ์และคิดอย่างไร กับตัวเอง 3. เครียดล่วงหน้าเป็นวันหรือสัปดาห์ เมื่อรู้ว่าต้องปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน 4. กลัวว่าตัวเองจะแสดงอาการหน้าขายหน้าออกไป 5. กลัวคนอื่นจะจับสังเกตได้ว่ากำลังรู้สึกประหม่าอยู่ อาการทางกายและพฤติกรรม อาย หน้าแดง เขินจนบิด ไม่กล้าสบตา เสียงสั่น พูดตะกุกตะกัก หายใจหอบถี่กระชั้น ใจเต้นแรง แน่นหน้าอก เหงื่อแตก หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ปั่นป่วนในท้อง บางรายถึงกับอาเจียน พฤติกรรมที่บ่งชี้อาการ 1. ชอบปลีกตัวหลบอยู่คนเดียวบ่อย ๆ เพราะกลัวการเผชิญหน้ากับบุคคลอื่น 2. มนุษยสัมพันธ์ค่อนข้างต่ำ และรักษาความเป็นเพื่อนไว้ได้ยาก 3. ไม่กล้าทำอะไรด้วยตัวเอง ต้องมีเพื่อนอยู่ข้าง ๆ ตลอดเวลา 4. ไม่กล้าแสดงออกขั้นรุนแรง 5. ผู้ใหญ่บางรายอาจดื่มแอลกอฮอล์ย้อมใจทุกครั้งก่อนเผชิญหน้ากับคนหมู่มาก
ปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการหวาดกลัวสังคม หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ อาการโรคหวาดกลัวสังคมคงไม่แสดงออกมาให้เห็นได้ชัดเจนนัก แต่หากได้รับการกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกบางอย่างทำให้เกิดอาการดังกล่าวขึ้นมาได้ เช่น 1. เมื่อต้องพบเพื่อน หรือต้องทำความรู้จักกับคนใหม่ ๆ 2. กำลังตกเป็นเป้าสายตาถูกล้อ แซว หรือกล่าวถึง 3. ถูกจับจ้องเวลาที่ทำอะไร รู้สึกว่าโดนแอบมอง เวลาไปออกเดท 4. จำเป็นต้องพูดคุยกับใครเป็นบทสนทนาสั้น ๆ หรือเมื่อต้องเข้าสอบ หรือถูกทดสอบ 5. เมื่อต้องพูดในที่สาธารณะ แสดงบนเวที หรือหน้าชั้นเรียน ในที่ประชุม 6. เมื่อต้องพูดคุยกับคนสำคัญ หรือบุคคลที่มีอิทธิพลเหนือกว่าตัวเอง 7. เมื่อเป็นฝ่ายโทรศัพท์ หรือติดต่อผู้อื่นก่อน 8. เวลารับประทานอาหารในที่สาธารณะ เวลาไปงานปาร์ตี้
โรคกลัวการเข้าสังคม มีผลกระทบกับชีวิตอย่างไร ? ผลกระทบกับชีวิตการงาน และการเรียน 1.ไม่กล้าไปสัมภาษณ์งาน ไม่กล้าแสดงออกในที่ประชุม หรือหน้าชั้นเรียน 2. มีปัญหากับการติดต่อประสานงานกับหัวหน้า หรือเพื่อนร่วมงาน 3. ลังเลที่จะตัดสินใจรับตำแหน่ง หรือหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4.ไม่มีความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน และการเรียนถดถอย ผลกระทบกับความสัมพันธ์ 1. มีปัญหาในการสานสัมพันธ์ รูปแบบเพื่อนหรือคนรัก คบไม่ได้นาน 2.ไม่กล้าเปิดใจรับใครเข้ามา 3.ไม่กล้าแชร์ความคิดเห็นร่วมกับบุคคลอื่น ผลกระทบกับชีวิตประจำวัน เสียโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทำให้ไม่ได้พัฒนาตนเองอย่างที่ควรพลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิต ขังตัวเองอยู่ในโลกส่วนตัว กลายเป็นคนโลกแคบได้
การวินิจฉัยโรค จิตแพทย์จะวินิจฉัยโรคเมื่อบุคคลนั้นมีอาการกลัวสังคมต่อเนื่องกันนานเกิน 6 เดือน โดยเฉพาะวัยเด็กไปจนถึงวัยรุ่น โดยสอบถาม สังเกตอาการระหว่างที่พูดคุย หากว่ามีอาการวิตกกังวลและหวาดกลัวต่อบุคคลอื่น แม้จะใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองก็ทำได้ลำบาก
แนวทางการรักษา 2 วิธี 1. การรักษาด้วยวิธีจิตวิทยา จิตแพทย์บำบัดด้วยการรับรู้และพฤติกรรม ถือว่าเป็นแนวทางการรักษาโรคกลัวการเข้าสังคมที่เหมาะสมมาก โดยจิตแพทย์จะพยายามโน้มน้าวผู้ป่วยให้เปลี่ยนความคิด ปรับพฤติกรรม และเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาอาการกลัวสังคมของตัวเอง เพื่อให้เขารู้สึกประหม่าและวิตกกังวลน้อยลง รวมทั้งเปิดโอกาสให้เขาเรียนรู้การเข้าสังคมมากขึ้นด้วย 2. การรักษาด้วยยา จิตแพทย์สั่งยาลดอาการซึมเศร้า (Antidepressants) และยาระงับความวิตกกังวล (Anti-Anxiety) ซึ่งระดับความรุนแรงของยาสามารถจำแนก 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ควรอยู่ภายใต้การวินิจฉัยของแพทย์
แม้โรคกลัวการเข้าสังคมจะดูไม่เป็นอันตรายกับสุขภาพของเราเท่าไร แต่ก็มีผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นหากคุณ หรือคนรอบข้างมีความสุ่มเสี่ยงที่จะป่วยเป็นโรคนี้ ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์ โดยด่วน
ขอขอบคุณข้อมูล จากhttp://health.kapook.com/view84729.html