สาเหตุ ยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากมีสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของระบบประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้ออาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี เช่น เอนดอร์ฟินซีโรโทนิน ในเนื้อเยื่อทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ส่วนใหญ่พบว่าสาเหตุได้แก่ ความเครียด หิวข้าว อดนอน ตาล้าตาเพลีย
นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน
อาการ ลักษณะเฉพาะคือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อๆ หนักๆ ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทอยทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องกันนานครั้งละ 30 นาทีถึง 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวันเป็นสัปดาห์ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรกๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อๆ หนักๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้าๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่ายๆ เย็นๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ
การแยกโรค อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวันๆ ขึ้นไปควรแยกสาเหตุอื่น เช่น
1. ไมเกรน ผู้ป่วยมีอาการปวดตุบๆ ที่ขมับข้างเดียว หรือเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4-72 ชั่วโมง จะเป็นๆ หายๆ ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่น บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย
2. เนื้องอกสมอง ผู้ป่วยมีอาการปวดทั่วศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอสายๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าว จะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลา ในระยะต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม
3.โรคทางสมองอื่นๆ เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรกที่ปวด บางคนมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย
4.ต้อหินชนิดเฉียบพลัน ผู้ป่วยมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดงๆ ตรงบริเวณตาขาว อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวันๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา
การวินิจฉัย วินิจฉัยโรคจากอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ผู้ป่วยและญาติควรเล่าประวัติ และอาการอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (นอกใจ เล่นพนัน ทะเลาะ) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ถูกต้องและไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอล 1-2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด
ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้ • ปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง หรือ ปวดมากตอนเช้ามืด จนสะดุ้งตื่น • เดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก
• ตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย
• ปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
• มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง
การรักษา การรักษา โดยให้ยาบรรเทาปวด ร่วมกับ ยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย จิตบำบัด กระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้งและแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน ทุกวันติดต่อกันนาน 1-3 เดือน
ภาวะแทรกซ้อน โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลา ผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายที่รักษาไปเรื่อยๆ การดำเนินโรค อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมงๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็ทุเลาได้ แต่เมื่อขาดการรักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็นๆ หายๆ ได้บ่อย
การป้องกัน
1. ควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 2. อย่าปล่อยให้หิว 3. อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า 4. ออกกำลังเป็นประจำ 5. หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ 6. หากจำเป็นควรกินยาป้องกัน ตามที่แพทย์แนะนำ